วันอาทิตย์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2554

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มอบนโยบาย ผอ.สพป.-ผอ.สพม.ทั่วประเทศ

พบ ผอ.สพป.-ผอ.สพม.ทั่วประเทศ
  
นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มอบนโยบายและแนวทางการทำงานแก่ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) ๑๘๓ เขต และผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) ๔๒ เขตทั่วประเทศ เมื่อเย็นวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๔ ณ โรงแรมรามาการ์เด้น กรุงเทพฯ

--------------------------------------------------------------------------------
รมว.ศธ.กล่าวว่า ต้องการมาพบกับผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทุกๆ ๒ เดือน ส่วนการพบในครั้งนี้ได้แสดงความขอบคุณการดำเนินงาน ๑๙ โครงการ ๑๙ ความสำเร็จด้านการศึกษาในรอบ ๑ ปีที่ผ่านมา เพราะ ผอ.เขตพื้นที่ฯ ถือเป็นขุนพลหลักที่มีส่วนขับเคลื่อนในการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ โดยเป็นโครงการที่มีการดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรม ดังนี้
๑) โครงการ "เรียนฟรี เรียนดี ๑๕ ปี อย่างมีคุณภาพ" ซึ่งได้ผลักดันงบประมาณปี ๒๕๕๔ จำนวนมากถึง ๘๐,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อให้นักเรียน ม.๔-๖ และ ปวช. ได้รับหนังสือเรียนฟรี โดยไม่ต้องยืมเรียน พร้อมทั้งส่งเสริมกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน และการมีส่วนร่วมของกรรมการสถานศึกษาและผู้ปกครองนักเรียน
๒. โครงการ "ดื่มนมและอาหารกลางวันฟรี" ได้เพิ่มงบประมาณรายหัวให้เด็กได้ดื่มนมฟรีจาก ๖ บาท เป็น ๗ บาทต่อคนต่อวัน จำนวน ๒๐๐ วัน และปรับปรุงงบประมาณรายหัวโครงการอาหารกลางวัน จากรายหัวละ ๑๑ บาท เป็น ๑๓ บาท โดยใช้งบประมาณทั้งสิ้น ๙,๒๙๘,๑๕๙,๐๐๐ บาท นอกจากนี้ได้มีการจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “พัฒนาสมองเด็กไทยต้องใส่ใจอย่างยั่งยืน” ที่สนองตอบต่อการดำเนินการตามโครงการ
๓. โครงการ "เด็กพิการเรียนฟรี ตั้งแต่ระดับก่อนประถมศึกษาจนถึงปริญญาตรี" ซึ่งได้มีการเพิ่มจำนวนนักเรียนพิการ ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานในสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ สพฐ. จาก ๑๙,๙๑๔ คน เป็น ๒๐,๙๘๑ คน เรียนต่อระดับปริญญาตรีสูงขึ้น เป็น ๔,๕๖๒ คน มีโรงเรียนเรียนร่วมเพิ่มขึ้นเป็น ๑๕,๕๓๐ โรงเรียน
๔. โครงการ "ประกาศจุดเน้นคุณภาพผู้เรียน" ซึ่งได้ประกาศคุณภาพผู้เรียนแต่ละช่วงชั้น กำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดที่ชัดเจน ดังนี้
สพฐ. นักเรียนชั้น ป.๑-๓ ต้องอ่านออก เขียนได้ คิดเลขเป็น มีทักษะการคิดพื้นฐาน ทักษะชีวิต และเป็นผู้ใฝ่ดี ป.๔-๖ อ่านคล่อง เขียนคล่อง คิดเลขคล่อง มีทักษะการคิดพื้นฐาน ทักษะชีวิต สื่อสารอย่างสร้างสรรค์ และใฝ่เรียนรู้ ม.๑-๓ แสวงหาความรู้ด้วยตนเอง ใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ มีทักษะการคิดขั้นสูง ทักษะชีวิต สื่อสารอย่างสร้างสรรค์ และอยู่อย่างพอเพียง ม.๔-๖ แสวงหาความรู้ เพื่อแก้ปัญหา ใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ ใช้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) มีทักษะการคิดขั้นสูง ทักษะชีวิต ทักษะการสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ตามช่วงวัย และมีความมุ่งมั่นในการศึกษาและการทำงาน
อาชีวศึกษา ต้องมุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีทักษะในอาชีพ มีสมรรถนะที่สามารถปฏิบัติงานได้จริงตามความต้องการของสถานประกอบการ รวมทั้งมีคุณธรรม จริยธรรมและกิจนิสัยที่เหมาะสมในการทำงาน
อุดมศึกษา บัณฑิตต้องมีคุณลักษณะอย่างน้อย ๕ ด้าน คือ ๑) มีคุณธรรมจริยธรรม ๒) มีความรู้ความสามารถในการเข้าใจ นึกคิด และนำเสนอข้อมูลและเรียนรู้ด้วยตนเองได้ ๓) มีทักษะทางปัญญา ๔) มีทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ ๕) มีทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข การสื่อสารและการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
๕. โครงการ "ปรับคุณภาพสถานศึกษาขนาดเล็ก" โดยเพิ่มเงินรายหัวให้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาเป็นคนละ ๕๐๐ บาทต่อคนต่อปี ชั้นมัธยมศึกษาคนละ ๑,๐๐๐ บาทต่อคนต่อปี และปรับปรุงประสิทธิภาพมาตรฐานของโรงเรียนขนาดเล็กที่มีคุณภาพของชุมชน มีจำนวนนักเรียนไม่ลดลงและชุมชนมีส่วนร่วมให้มีคุณภาพ ใช้งบประมาณทั้งสิ้น ๘๘๘,๗๐๐,๐๐๐ บาท
๖. โครงการ "โรงเรียนดีประจำตำบล" ได้ปรับปรุงมาตรฐานและคุณภาพโรงเรียนในชนบท โดยได้จัดเป็นโครงการนำร่องในปีที่ผ่านมา ๑๘๒ โรงเรียน ใช้งบประมาณ ๑,๗๐๐ ล้านบาท และได้ขยายผลเป็นจำนวน ๗,๐๐๐ โรงเรียน ในปีงบประมาณ ๒๕๕๔ ใช้งบประมาณ ๒,๒๐๐ ล้านบาท โดยดำเนินการตามยุทธศาสตร์ ๗-๗-๗ ในการขับเคลื่อน
๗. โครงการ "พัฒนาโรงเรียนดีประจำอำเภอ" ๒,๕๐๐ โรง และ "โรงเรียนไปสู่ระดับมาตรฐานสากล" ๕๐๐ โรง กลุ่มโรงเรียนเอกชนและโรงเรียนนานาชาติให้มีมาตรฐานไปสู่สากล จำนวน ๑,๐๐๐ โรง ขับเคลื่อนและดำเนินการโดยการประชุมทางไกล จัดทำสื่อ จัดประชุมสัญจร ๕ ภูมิภาค จัดเครือข่ายการนิเทศการมัธยมศึกษา และจัดตั้งภาคีเครือข่าย รวมทั้งมีการเรียนการสอนภาษาอังกฤษอย่างเข้มข้นเพื่อเตรียมความพร้อมการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี ๒๕๕๘
๘. โครงการ "จัดตั้งโรงเรียนวิทยาศาสตร์ภูมิภาค" โดยพัฒนาโรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัยทั้ง ๑๒ แห่ง ปรับปรุงค่ารายหัวเป็น ๙๔,๐๐๐ บาทต่อคนต่อปี เพื่อพัฒนาให้เป็นโรงเรียนวิทยาศาสตร์ภูมิภาค เป็นฐานในการผลิตและพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เป็นต้นแบบและกระตุ้นการพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ โดยจะเริ่มรับนักเรียนในปี ๒๕๕๔
๙. โครงการ "พัฒนาคุณภาพครูทั้งระบบ" ได้เร่งรัดการพัฒนาครูเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาในปีงบประมาณ ๒๕๕๓ ได้ใช้งบประมาณทั้งสิ้น ๕,๘๔๑,๗๗๖,๔๐๐ บาท เพื่อผลิตครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน (๕ปี) พัฒนาระบบสารสนเทศ โครงการคืนครูให้กับนักเรียน การพัฒนาครูด้วยระบบ e-Training การจัดทำระบบทะเบียนประวัติ (ก.พ.๗) อิเล็กทรอนิกส์ และการอบรมพัฒนาชีวิตด้วยหลักเศรษฐกิจพอเพียงและการพัฒนาชีวิตด้วยการสร้างวินัยทางการเงิน
๑๐. โครงการ "ผลิตครูพันธุ์ใหม่" มีเป้าหมายการรับนักศึกษาจำนวน ๖ รุ่น รวม ๓๐,๐๐๐ คน ตั้งแต่ปีการศึกษา ๒๕๕๔–๒๕๕๘ โดยรับนักศึกษาเข้าร่วมโครงการ ๓ ประเภท ได้แก่ รับผู้สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาชั้นปีที่ ๖ รับนักศึกษาครูระดับปริญญาตรีหลักสูตร ๕ ปีที่กำลังศึกษาชั้นปี ๔ และรับผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาวิชาอื่น เข้าศึกษาต่อหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู (๑ ปี)
๑๑. โครงการ "สร้างขวัญกำลังใจครู" โดยได้เสนอ พ.ร.บ.เงินเดือน/เงินวิทยฐานะฯ เพื่อให้ข้าราชการครูได้ปรับเพดานขั้นเงินเดือนประมาณร้อยละ ๘ แก้กฎ ก.ค.ศ. ให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาได้รับเงินเดือนสูงขึ้นเทียบเท่าวิชาชีพแพทย์และกฎหมาย เสนอเงินวิทยพัฒน์ฯ ปรับปรุงมาตรฐานกำหนดตำแหน่งให้ผู้บริหารการศึกษาระดับจังหวัดเป็นระดับ ค.ศ. ๔ นอกจากนี้จะได้มีการปรับปรุงวิธีการประเมินวิทยฐานะแก่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยเน้นการประเมินผลงานครูและบุคลากรทางการศึกษาเชิงประจักษ์ เน้นการสนับสนุนครูสอนดี
๑๒. ดำเนินการถวายพระราชสมัญญา "พระผู้ทรงเป็นครูแห่งแผ่นดิน" แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๘๔ พรรษา และจัดตั้ง "กองทุนครูของแผ่นดิน" เป็นกองทุนเพื่อพัฒนาครู คณาจารย์และบุคลากรทางการศึกษา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูข้าราชการครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษาให้มีความเป็นเลิศ เป็นครูต้นแบบ ส่งเสริมสนับสนุนครูในพื้นที่เสี่ยงภัย ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ และยกย่องเชิดชูเกียรติของครู
๑๓. โครงการ "จัดตั้งกองทุนเทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อการศึกษา" ขึ้นเป็นครั้งแรก โดย ศธ.ได้เสนอพระราชบัญญัติสถาบันเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี และเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๓ รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณให้จำนวน ๕ ล้านบาท และคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ได้มอบเงินสนับสนุนตาม พ.ร.บ.กทช. อีกจำนวน ๑๐๐ ล้านบาท พร้อมกับประกาศนโยบาย 3N ได้แก่ Nednet (National Education Network) หรือเครือข่ายเพื่อการพัฒนาแห่งชาติ, NEIS (National Education Information System) หรือศูนย์สารสนเทศเพื่อการศึกษาแห่งชาติ และ NLC (National Learning Center) หรือศูนย์การเรียนรู้แห่งชาติ นอกจากนี้ในปี ๒๕๕๓ ได้จัดซื้อคอมพิวเตอร์ให้นักเรียนเพื่อเพิ่มสัดส่วนเป็นนักเรียน ๑๐ คนต่อคอมพิวเตอร์ ๑ เครื่อง จำนวน ๑๔๐,๐๐๐ ชุด และปี ๒๕๕๔ อีกจำนวน ๑๒๐,๐๐๐ ชุด และจัดงบประมาณสำหรับอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง จำนวน ๓,๐๐๐ ล้านบาท
๑๔. โครงการ "พัฒนา กศน.ตำบล : ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนตลอดชีวิต ๗,๐๐๐ ตำบล" ศธ.ได้ยกฐานะครูศูนย์การเรียนรู้ชุมชน (ศรช.) และครู กศน.ตำบล เป็นพนักงานราชการ จำนวน ๗,๒๑๖ คน มีการจัดตั้ง กศน.ตำบล ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ราคาถูก และดำเนินการปรับศูนย์การเรียนรู้ชุมชนเป็น กศน.ตำบล จำนวน ๗,๔๐๙ แห่ง
๑๕. โครงการ "ส่งเสริมการอ่านเพื่อสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต" โดยดำเนินการใน ๕ แผน คือ ๑) รณรงค์การสร้างนิสัยรักการอ่าน ๒) การเพิ่มสมรรถนะการอ่าน ๓) การสร้างบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมในการอ่านและสร้างแหล่งเรียนรู้ใหม่ ๔) สร้างเครือข่ายความร่วมมือการอ่าน โดยจัดโครงการอบรมอาสาสมัครส่งเสริมการอ่านทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ๕) การวิจัยและพัฒนาเพื่อการอ่าน ทั้งนี้ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการส่งเสริมการอ่านเพื่อสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตด้วย
๑๖. โครงการ "Student Channel และ Thai Teacher TV" เพื่อเป็นการเสริมสร้างและเพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้นักเรียนนักศึกษาได้มีโอกาสเรียนรู้จากครูที่มีความรู้ความสามารถ รวมทั้งส่งเสริมให้ครูได้เห็นตัวอย่างการสอนและการบริหารจัดการที่ดี ซึ่งได้มีการผลิตรายการ Student Channel ทั้งหมดจำนวน ๑๑๐ รายการ จัดกิจกรรม Student Channel on Tour จำนวน ๒๑ ครั้ง และจัดทำสำเนารายการเป็น DVD จำนวน ๗๒,๘๖๐ แผ่น ส่วน Thai Teacher TV ได้ดำเนินการออกอากาศผ่านช่องทีวีไทยในชื่อรายการ "ครูมืออาชีพ" รวมทั้งเปิดให้รับชมผ่านดาวเทียม มีการผลิตสื่อและจัดหาสื่อสำหรับเผยแพร่ จำนวน ๑๐๐ รายการ และได้รับการสนับสนุนงบประมาณในการพัฒนาและปรับปรุงสถานีวิทยุศึกษา และสถานีโทรทัศน์เพื่อการศึกษา จำนวน ๓๕๗,๕๙๐,๐๐๐ บาท
๑๗. "ยุทธศาสตร์การจัดการศึกษาในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้" ได้แก่ ยกระดับคุณภาพการศึกษา พัฒนาศักยภาพครูผู้สอนที่ไม่ตรงวุฒิ จำนวน ๕๐๐ คน พัฒนาทักษะการอ่าน เขียน ภาษาไทยให้กับนักเรียนที่อ่านภาษาไทยไม่คล่อง จำนวน ๔,๙๓๒ คน และจัดการศึกษาภาคบังคับให้เด็กตกหล่น จำนวน ๖,๖๕๗ คน การพัฒนาอิสลามศึกษา ได้ส่งเสริมการสอนอิสลามศึกษาแบบเข้มในโรงเรียนของรัฐ จัดให้มีการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางอิสลามศึกษา (I-NET) มีการเทียบโอนอิสลามศึกษาทุกระดับ และคัดเลือกสถาบันศึกษาปอเนาะดีต้นแบบ ๙ แห่ง การศึกษาเพื่อพัฒนาอาชีพ พัฒนาทักษะอาชีพหลักสูตรระยะสั้นในสถาบันศึกษาปอเนาะและสอนวิชาชีพสำหรับเยาวชนและประชาชน จำนวน ๖๔,๒๓๔ คน และปรับระบบบริหารจัดการ โดยแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ สำนักงานส่งเสริมการศึกษาเอกชนจังหวัด จำนวน ๕ แห่ง และสำนักงานส่งเสริมการศึกษาเอกชนอำเภอ จำนวน ๓๗ แห่ง รวมทั้งจัดตั้งศูนย์ กศน.ทุกตำบล จำนวน ๔๑๓ แห่ง
๑๘. โครงการ "จัดตั้งสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) หรือ Quality Learning Foundation (QLF)" ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน พ.ศ.๒๕๕๓ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นรองประธานคนที่หนึ่ง ซึ่ง สสค.มีหน้าที่ในการสนับสนุนการปฏิรูปการศึกษา ส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้ เพื่อขับเคลื่อนให้คนไทยมีจิตสำนึกของการเรียนรู้ตลอดชีวิต รวมทั้งเพื่อให้เยาวชนไทยมีคุณภาพและสุขภาวะที่ดีขึ้น
๑๙. "การปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง (พ.ศ.๒๕๕๒-๒๕๖๑)" ภายใต้วิสัยทัศน์ "คนไทยได้เรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ" โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาและเรียนรู้ของคนไทย เพิ่มโอกาสทางการศึกษาและเรียนรู้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนของสังคมในการบริหารและจัดการศึกษา ซึ่งได้มีการประชุมคณะกรรมการนโยบายปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง (กนป.) จำนวน ๗ ครั้ง และได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ กนป. จำนวน ๗ คณะ สำหรับคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง (กขป.) มีการประชุม ๓ ครั้ง และได้เห็นชอบหลักการกรอบแนวทาง ยุทธศาสตร์ และกลไกขับเคลื่อนเพื่อการบรรลุเป้าหมายการปฏิรูปในทศวรรษที่สอง (พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๖๑) และมอบหมายให้สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ได้เป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำแผนปฏิบัติการ (Roadmap) เพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง
นอกจากนี้ รมว.ศธ.ได้เน้นย้ำเรื่อง "จุดเน้นนโยบายในปี ๒๕๕๔" ที่ต้องการให้ ผอ.เขตพื้นที่ฯ ดำเนินการในเชิงยุทธศาสตร์ที่ต่อเนื่องต่อไป เพราะหาก ศธ.กำหนดยุทธศาสตร์แล้ว แต่กลไกการทำงานไม่ชัดเจน ก็ยากที่จะประสบความสำเร็จได้ จึงหวังว่าปี ๒๕๕๔ จะเป็นปีคุณภาพการศึกษา คุณภาพครู และคุณภาพนักเรียน ซึ่ง ผอ.เขตพื้นที่ฯ จะต้องแปรนโยบายยุทธศาสตร์ดังกล่าว ไปสู่ยุทธวิธีในการปฏิบัติให้เกิดผลอย่างจริงจังต่อไป
ทั้งนี้ รมว.ศธ.ได้กล่าวแสดงความหวังว่า นโยบายที่สำคัญจะต้องมุ่งเน้น คือ นโยบายคุณภาพผู้เรียน โรงเรียนดีประจำตำบล รวมทั้งนโยบายการพัฒนาคุณภาพครู ซึ่งจะเห็นผลในเชิงปฏิบัติมากขึ้น ทั้งยังได้ขอความร่วมมือเรื่องการเทิดพระเกียรติในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๔ พรรษา ในปี ๒๕๕๔ ที่เราจะร่วมเฉลิมฉลองพระราชสมัญญา "พระผู้ทรงเป็นครูแห่งแผ่นดิน" รวมทั้งเชิญชวนจัดตั้ง "กองทุนครูของแผ่นดิน" ด้วย
ในส่วนของนโยบายการรับนักเรียนนั้น จะมีการเปิดศูนย์รับนักเรียนโดยตรง ในวันที่ ๑๑ มกราคมนี้ และจะมีการตั้งคณะกรรมการรับนักเรียนปี ๒๕๕๔ รวมทั้งการจัดทำแผนรองรับในการรับนักเรียนให้ครอบคลุมอย่างรอบด้านในโรงเรียนที่มีอัตราการแข่งขันสูง โดยจะมีการตั้งคณะกรรมการในการติดตามตรวจสอบการรับนักเรียน มีองค์กรทุกภาคส่วน โดยเฉพาะองค์กรการตรวจสอบเข้ามาร่วมเป็นคณะกรรมการด้วย นอกจากนี้จะมีการประชุม ผอ.โรงเรียนที่มีอัตราการแข่งขันสูง ๓๖๙ โรง ในวันที่ ๑๒ มกราคมนี้ด้วย เพื่อทำความเข้าใจในประกาศแผนการรับนักเรียนของ สพฐ. ซึ่งจะต้องตั้งโจทย์ให้ครอบคลุมทั้งหมด หวังว่าประกาศรับนักเรียนในปีนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างธรรมาภิบาล ความโปร่งใสให้เกิดขึ้น และจะเป็นการลดความเหลื่อมล้ำ รวมทั้งตอบโจทย์สุดท้ายคือ คุณภาพการศึกษาที่ดีขึ้น คุณภาพโรงเรียนที่ใกล้เคียงกันด้วย
ส่วนผู้อำนวยการโรงเรียนที่มีอัตราการแข่งขันสูงบางรายที่ได้ไปวิพากษ์นโยบายดังกล่าวว่าไม่สามารถดำเนินการได้นั้น รมว.ศธ.กล่าวในที่ประชุมว่า ทราบดีและหวังว่าผู้บริหารรายนั้นจะดำเนินการรับนักเรียนด้วยความโปร่งใส เพราะหากมีปัญหาร้องเรียนหรือปรากฏว่าเรียกรับเงินในการรับนักเรียน ทั้งผู้บริหารสถานศึกษา และผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาฯ จะต้องมีส่วนรับผิดชอบด้วย และหากว่ามีปัญหาเกิดขึ้นมากกว่า ๒ เขตพื้นที่การศึกษา อาจจะต้องมีการพิจารณาโยกย้ายเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
จึงหวังว่าผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดจะต้องร่วมกันดำเนินการการรับนักเรียนอย่างจริงจัง ให้เป็นไปอย่างมีธรรมาภิบาล และโปร่งใส เพื่อให้เกิดความเสมอภาคแก่นักเรียนโดยรวมของประเทศจำนวนกว่า ๑ ล้านคน ไม่ใช่ของหัวคะแนนหรือเพื่อลูกหลานใคร ดังนั้นบุคคลที่สนับสนุนตนทางการเมือง หรือบุคคลใกล้ชิด จะต้องยอมรับในนโยบายนี้เช่นกันด้วย.
ที่มา http://www.moe-news.net/index.php?option=com_content&task=view&id=2180&Itemid=99999999&preview=popup

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น