สทศ.เห็นชอบเลื่อนสอบ O-Net ป.6 และ ม.3 และเห็นชอบเลื่อนสอบ V-Net ระดับ ปวช.และ ปวส.ฝากผู้สมัครสอบ 7 วิชาที่ชำระเงินยืนยันการเลือกสนามสอบที่เว็บไซต์ สทศ.ภายใน 25 พ.ย.นี้
รศ.ดร.สัมพันธ์ พันธุ์พฤกษ์ ผู้อำนวยการสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหาร สทศ. ว่า ที่ประชุมเห็นชอบเลื่อนปฏิทินการสอบแบบทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน (O-Net) ประจำปีการศึกษา 2554 ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา (ป.) ที่ 6 และมัธยมศึกษา (ม.) ที่ 3 ดังนี้ นักเรียนชั้น ป.6 เดิมสอบวันที่ 1 ก.พ.2555 เลื่อนเป็นวันที่ 15 ก.พ. 2555 นักเรียนชั้น ม.3 เดิมสอบวันที่ 2-3 ก.พ.2555 เลื่อนเป็นวันที่ 16-17 ก.พ.2555 และประกาศผลสอบวันที่ 31 มี.ค. 2555 สำหรับนักเรียนชั้น ม.6 ให้สอบตามปฏิทินเดิมคือวันที่ 18-19 ก.พ.55 และประกาศผลสอบวันที่ 10 เม.ย.2555 นอกจากนี้ ประชุมมีมติเห็นชอบให้เลื่อนการจัดทดสอบทางการศึกษาระดับชาติด้านอาชีวศึกษา (V-Net) ประจำปีการศึกษา 2554 ด้วยจากเดิมสอบนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) วันที่ 22 ม.ค.2555 เลื่อนเป็น วันที่ 4 ก.พ.2555 และนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง( ปวส. ) เดิมสอบวันที่ 29 ม.ค.2555 เลื่อนเป็นวันที่ 5 ก.พ.2555
“การเลื่อนสอบ O-Net นั้น เพื่อให้โรงเรียนและนักเรียนได้เรียนครบตามหลักสูตรการเรียนการสอน และเตรียมความพร้อมก่อนสอนอย่างเต็มที่ สำหรับการรับสมัครทดสอบวิชาสามัญ 7 วิชา ที่ให้มหาวิทยาลัยต่างๆ นำคะแนนไปใช้ประกอบการรับบุคคลเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษา ในระบบรับตรงผ่านเคลียริ่งเฮาส์ ของที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ประจำปีการศึกษา 2555 ที่กำหนดปิดรับสมัครเมื่อวันที่ 22 พ.ย. 2554 และชำระเงินจนถึงวันที่ 23 พ.ย.2554 นั้น สทศ.ยืนยันจะไม่ขยายวันรับสมัครและชำระเงินอีกแล้ว เนื่องจากถ้ามีการขยายออกไปอีกจะกระทบต่อการจัดสอบ และขอย้ำผู้สมัครสอบวิชาสามัญ 7 วิชา และชำระเงินเรียบร้อยแล้วต้องเข้ามายืนยันการเลือกสนามสอบในเว็บไซต์ www.niets.or.th “ระบบ 7 วิชาสามัญ” ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 25 พ.ย. 2554” รศ.ดร.สัมพันธ์ กล่าว
วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
"แท็บเล็ต" เป็นครุภัณฑ์ของโรงเรียน
สพฐ.เตรียมเสนอแนวคิดให้ "แท็บเล็ต" เป็นครุภัณฑ์ของโรงเรียน เชื่อบริหารจัดการได้ง่ายกว่าให้นักเรียนเป็นเจ้าของ แต่จะเปิดโอกาสให้เด็กเอากลับบ้านได้แบบรายวัน และคืนโรงเรียนช่วงปิดเทอม ชี้กรณีเด็กชั้น ป.1 จะได้รับแจกแท็บเล็ตไม่ครบทั้งหมดมอบ สพท.เป็นผู้คัดเลือกแล้ว วัดความพร้อมโรงเรียนเป็นหลัก ทั้งระบบอินเทอร์เน็ต สาธารณูปโภค ความพร้อมครู รับยังไม่มีแผนหากโรงเรียนจะร้องเรียนกรณีจัดสรรแท็บเล็ตไม่เป็นธรรม
นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินโครงการแจกแท็บเล็ตให้กับนักเรียน หรือ One Tablet Per Child ว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) มีแนวคิดจะเสนอกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กำหนดเครื่องแท็บเล็ตเป็นครุภัณฑ์ของโรงเรียนแทนการให้นักเรียนเป็นเจ้าของ เพราะเชื่อว่าจะทำให้ง่ายต่อการบริหารจัดการ หากให้เด็กเป็นเจ้าของแล้วอาจมีปัญหาเครื่องเสียหายหรือสูญหายตามมาได้ ซึ่งหากให้เป็นสิทธิ์โรงเรียนเป็นเจ้าของ เมื่อเด็กใช้เรียนเสร็จก็ต้องคืนโรงเรียน เช่น เรียนจบภาคการศึกษา เรียนจบปีการศึกษา เป็นต้น แต่ก็จะอนุญาตให้เด็กนักเรียนสามารถนำแท็บเล็ตกลับไปที่บ้านได้ อย่างไรก็ตาม ทางโรงเรียนจะต้องไปทำข้อตกลงกับนักเรียนเองภายหลังด้วย ว่าจะให้นำแท็บเล็ตกลับบ้านได้หรือไม่ และมีระเบียบอย่างไร เพราะบริบทของแต่พื้นที่แตกต่างกัน จึงอยากให้โรงเรียนมีสิทธิ์ตัดสินใจได้เอง
เลขาธิการ สพฐ.กล่าวอีกว่า สำหรับการจัดสรรแท็บเล็ตให้กับนักเรียนชั้น ป.1 ที่อาจจัดสรรได้ไม่ครบทุกคน เนื่องจากงบประมาณปี 2555 มีจำกัด หรือได้ประมาณ 66% เท่านั้น เบื้องต้น สพฐ.จึงได้มอบหมายให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) เป็นผู้คัดเลือกโรงเรียนที่จะได้รับแจกแท็บเล็ต โดยเน้นเลือกโรงเรียนที่มีความพร้อมก่อน เช่น มีเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่เข้าถึง และมีระบบสาธารณูปโภคที่ทั่วถึง ครูมีความพร้อม เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ในส่วนกรณีโรงเรียนบางโรงอาจเรียกร้องหรือฟ้องร้องภายหลัง หากไม่ได้รับการจัดสรรแท็บเล็ตอย่างเป็นธรรมนั้น เบื้องต้น สพฐ.ก็ยังไม่มีแนวทางรองรับไว้
"สำหรับการจัดซื้อเครื่องแท็บเล็ตเพื่อดำเนินโครงการนั้น ขณะนี้เราได้เปิดกว้างให้หลายบริษัทมานำเสนอ ส่วนเรื่องระบบปฏิบัติการ ไม่ว่าจะเป็นระบบแอนดรอยด์ที่มีหลายบริษัทให้เลือก หรือจะเป็นระบบโอเอสของบริษัทแอปเปิล ซึ่งเราก็จะคัดเลือกระบบที่ดีที่สุดและสามารถใช้ประโยชน์ได้จริงต่อการศึกษา โดยในการตัดสินใจใดๆ นั้นก็จะพิจารณาจากผลการวิจัยโรงเรียนนำร่องแท็บเล็ต 5 โรงที่วิจัยในภาคเรียนที่ 2/2554 ด้วย ถึงจะเริ่มตัดสินใจเลือกบริษัทต่อไป” นายชินภัทรกล่าว.
นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินโครงการแจกแท็บเล็ตให้กับนักเรียน หรือ One Tablet Per Child ว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) มีแนวคิดจะเสนอกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กำหนดเครื่องแท็บเล็ตเป็นครุภัณฑ์ของโรงเรียนแทนการให้นักเรียนเป็นเจ้าของ เพราะเชื่อว่าจะทำให้ง่ายต่อการบริหารจัดการ หากให้เด็กเป็นเจ้าของแล้วอาจมีปัญหาเครื่องเสียหายหรือสูญหายตามมาได้ ซึ่งหากให้เป็นสิทธิ์โรงเรียนเป็นเจ้าของ เมื่อเด็กใช้เรียนเสร็จก็ต้องคืนโรงเรียน เช่น เรียนจบภาคการศึกษา เรียนจบปีการศึกษา เป็นต้น แต่ก็จะอนุญาตให้เด็กนักเรียนสามารถนำแท็บเล็ตกลับไปที่บ้านได้ อย่างไรก็ตาม ทางโรงเรียนจะต้องไปทำข้อตกลงกับนักเรียนเองภายหลังด้วย ว่าจะให้นำแท็บเล็ตกลับบ้านได้หรือไม่ และมีระเบียบอย่างไร เพราะบริบทของแต่พื้นที่แตกต่างกัน จึงอยากให้โรงเรียนมีสิทธิ์ตัดสินใจได้เอง
เลขาธิการ สพฐ.กล่าวอีกว่า สำหรับการจัดสรรแท็บเล็ตให้กับนักเรียนชั้น ป.1 ที่อาจจัดสรรได้ไม่ครบทุกคน เนื่องจากงบประมาณปี 2555 มีจำกัด หรือได้ประมาณ 66% เท่านั้น เบื้องต้น สพฐ.จึงได้มอบหมายให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) เป็นผู้คัดเลือกโรงเรียนที่จะได้รับแจกแท็บเล็ต โดยเน้นเลือกโรงเรียนที่มีความพร้อมก่อน เช่น มีเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่เข้าถึง และมีระบบสาธารณูปโภคที่ทั่วถึง ครูมีความพร้อม เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ในส่วนกรณีโรงเรียนบางโรงอาจเรียกร้องหรือฟ้องร้องภายหลัง หากไม่ได้รับการจัดสรรแท็บเล็ตอย่างเป็นธรรมนั้น เบื้องต้น สพฐ.ก็ยังไม่มีแนวทางรองรับไว้
"สำหรับการจัดซื้อเครื่องแท็บเล็ตเพื่อดำเนินโครงการนั้น ขณะนี้เราได้เปิดกว้างให้หลายบริษัทมานำเสนอ ส่วนเรื่องระบบปฏิบัติการ ไม่ว่าจะเป็นระบบแอนดรอยด์ที่มีหลายบริษัทให้เลือก หรือจะเป็นระบบโอเอสของบริษัทแอปเปิล ซึ่งเราก็จะคัดเลือกระบบที่ดีที่สุดและสามารถใช้ประโยชน์ได้จริงต่อการศึกษา โดยในการตัดสินใจใดๆ นั้นก็จะพิจารณาจากผลการวิจัยโรงเรียนนำร่องแท็บเล็ต 5 โรงที่วิจัยในภาคเรียนที่ 2/2554 ด้วย ถึงจะเริ่มตัดสินใจเลือกบริษัทต่อไป” นายชินภัทรกล่าว.
ปฏิทินรับนักเรียน ปีการศึกษา 2555
สพฐ.เตรียมเสนอ”เสมา1″ เห็นชอบ …คลิกดูรายละเอียด
วันที่ 23 พ.ย.54 นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้กำหนดปฏิทินการรับนักเรียนระดับประถมศึกษา และมัธยมศึกษาของโรงเรียนในสังกัด สพฐ.ปีการศึกษา 2555 ดังนี้
ระดับชั้นก่อนประถมศึกษา รับสมัครวันที่ 3-7 ก.พ.55 จับฉลาก ประกาศผลและรายงานตัววันที่ 12 ก.พ.55 มอบตัววันที่ 19 ก.พ.55
ระดับชั้น ป.1 รับสมัครวันที่ 10-14 ก.พ.55 จับฉลาก ประกาศผลและรายงานตัววันที่ 19 ก.พ.55 มอบตัววันที่ 26 ก.พ.55
ระดับชั้น ม.1 – ประเภทความสามารถพิเศษ รับสมัครวันที่ 1-2 เม.ย.55 สอบประกาศผล และรายงานตัววันที่ 3 เม.ย.55 มอบตัววันที่ 21 เม.ย.55
- ประเภทสอบคัดเลือก และใช้คะแนนแบบทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) รับสมัครวันที่ 1-4 เม.ย.55 สอบคัดเลือกวันที่ 7 เม.ย.55 ประกาศผลและรายงานตัววันที่ 10 เม.ย.55 มอบตัววันที่ 21 เม.ย.55
- ประเภทจับฉลากในเขตพื้นที่บริการ รับสมัคร วันที่ 1-4 เม.ย.55 จับฉลาก ประกาศผล และรายงานตัววันที่ 11 เม.ย.55 มอบตัววันที่ 21 เม.ย.55
- ประเภทเงื่อนไขพิเศษ รับสมัครวันที่ 1-4 เม.ย.55 ประกาศผลและรายงานตัววันที่ 10 เม.ย.55 มอบตัววันที่ 21 เม.ย.55
ระดับชั้น ม.4 โรงเรียนที่เปิดสอนระดับ ม.ต้น และ ม.ปลาย – ประเภทนักเรียนที่จบชั้น ม.3 เดิม รายงานตัววันที่ 12 เม.ย.55 มอบตัววันที่ 22 เม.ย.55
- ประเภทนักเรียนที่จบชั้นม.3 จากโรงเรียนอื่น รับสมัครวันที่ 1-4 เม.ย.55 สอบคัดเลือกวันที่ 8 เม.ย.55 ประกาศผลวันที่ 11 เม.ย.55 รายงานตัววันที่ 12 เม.ย.55 มอบตัววันที่ 22 เม.ย.55
- ประเภทเงื่อนไขพิเศษ รับสมัครวันที่ 1-4 เม.ย.55 ประกาศผลวันที่ 11 เม.ย.55 รายงานตัววันที่ 12 เม.ย.55 มอบตัววันที่ 22 เม.ย.55 ส่วนโรงเรียนที่เปิดสอนเฉพาะม.ปลาย
- ประเภทความสามารถพิเศษ รับสมัครวันที่ 1-2 เม.ย.55 สอบ ประกาศผล และรายงานตัววันที่ 3 เม.ย.55 มอบตัววันที่ 22 เม.ย.55
- ประเภทสอบคัดเลือก รับสมัครวันที่ 1-4 เม.ย. 55 สอบคัดเลือกวันที่ 8 เม.ย.55 ประกาศผล และรายงานตัววันที่ 11 เม.ย.55 มอบตัววันที่ 22 เม.ย.55 ประเภทเงื่อนไขพิเศษ รับสมัครวันที่ 1-4 เม.ย.55 ประกาศผล และรายงานตัววันที่ 11 เม.ย.55 มอบตัววันที่ 22 เม.ย.55
โรงเรียนที่มีวัตถุประสงค์พิเศษ และโรงเรียนที่จัดห้องเรียนพิเศษ ระดับชั้น ม.1 รับสมัครวันที่ 16-20 ก.พ.55 สอบ 25 ก.พ.55 ประกาศผล 4 มี.ค.55 รายงานตัวภายในวันที่ 6 มี.ค.55 ระดับชั้น ม.4 รับสมัครวันที่ 16-20 ก.พ.55 สอบ 26 ก.พ.55 ประกาศผลวันที่ 4 มี.ค.55 รายงานตัวภายในวันที่ 6 มี.ค.55
ส่วนโรงเรียนที่จัดการศึกษาสำหรับเด็กพิการ รับสมัครวันที่ 1-30 เม.ย.55 ประกาศผลวันที่ 1 พ.ค.55 รายงานตัวภายในวันที่ 8 พ.ค.55
และโรงเรียนที่จัดการศึกษาสำหรับผู้ด้อยโอกาส รับสมัครวันที่ 16-25 ก.พ.55 สอบ 26-28 ก.พ.55 ประกาศผลวันที่ 29 ก.พ.55 และรายงานตัววันที่ 13 มี.ค.55
วันที่ 23 พ.ย.54 นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้กำหนดปฏิทินการรับนักเรียนระดับประถมศึกษา และมัธยมศึกษาของโรงเรียนในสังกัด สพฐ.ปีการศึกษา 2555 ดังนี้
ระดับชั้นก่อนประถมศึกษา รับสมัครวันที่ 3-7 ก.พ.55 จับฉลาก ประกาศผลและรายงานตัววันที่ 12 ก.พ.55 มอบตัววันที่ 19 ก.พ.55
ระดับชั้น ป.1 รับสมัครวันที่ 10-14 ก.พ.55 จับฉลาก ประกาศผลและรายงานตัววันที่ 19 ก.พ.55 มอบตัววันที่ 26 ก.พ.55
ระดับชั้น ม.1 – ประเภทความสามารถพิเศษ รับสมัครวันที่ 1-2 เม.ย.55 สอบประกาศผล และรายงานตัววันที่ 3 เม.ย.55 มอบตัววันที่ 21 เม.ย.55
- ประเภทสอบคัดเลือก และใช้คะแนนแบบทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) รับสมัครวันที่ 1-4 เม.ย.55 สอบคัดเลือกวันที่ 7 เม.ย.55 ประกาศผลและรายงานตัววันที่ 10 เม.ย.55 มอบตัววันที่ 21 เม.ย.55
- ประเภทจับฉลากในเขตพื้นที่บริการ รับสมัคร วันที่ 1-4 เม.ย.55 จับฉลาก ประกาศผล และรายงานตัววันที่ 11 เม.ย.55 มอบตัววันที่ 21 เม.ย.55
- ประเภทเงื่อนไขพิเศษ รับสมัครวันที่ 1-4 เม.ย.55 ประกาศผลและรายงานตัววันที่ 10 เม.ย.55 มอบตัววันที่ 21 เม.ย.55
ระดับชั้น ม.4 โรงเรียนที่เปิดสอนระดับ ม.ต้น และ ม.ปลาย – ประเภทนักเรียนที่จบชั้น ม.3 เดิม รายงานตัววันที่ 12 เม.ย.55 มอบตัววันที่ 22 เม.ย.55
- ประเภทนักเรียนที่จบชั้นม.3 จากโรงเรียนอื่น รับสมัครวันที่ 1-4 เม.ย.55 สอบคัดเลือกวันที่ 8 เม.ย.55 ประกาศผลวันที่ 11 เม.ย.55 รายงานตัววันที่ 12 เม.ย.55 มอบตัววันที่ 22 เม.ย.55
- ประเภทเงื่อนไขพิเศษ รับสมัครวันที่ 1-4 เม.ย.55 ประกาศผลวันที่ 11 เม.ย.55 รายงานตัววันที่ 12 เม.ย.55 มอบตัววันที่ 22 เม.ย.55 ส่วนโรงเรียนที่เปิดสอนเฉพาะม.ปลาย
- ประเภทความสามารถพิเศษ รับสมัครวันที่ 1-2 เม.ย.55 สอบ ประกาศผล และรายงานตัววันที่ 3 เม.ย.55 มอบตัววันที่ 22 เม.ย.55
- ประเภทสอบคัดเลือก รับสมัครวันที่ 1-4 เม.ย. 55 สอบคัดเลือกวันที่ 8 เม.ย.55 ประกาศผล และรายงานตัววันที่ 11 เม.ย.55 มอบตัววันที่ 22 เม.ย.55 ประเภทเงื่อนไขพิเศษ รับสมัครวันที่ 1-4 เม.ย.55 ประกาศผล และรายงานตัววันที่ 11 เม.ย.55 มอบตัววันที่ 22 เม.ย.55
โรงเรียนที่มีวัตถุประสงค์พิเศษ และโรงเรียนที่จัดห้องเรียนพิเศษ ระดับชั้น ม.1 รับสมัครวันที่ 16-20 ก.พ.55 สอบ 25 ก.พ.55 ประกาศผล 4 มี.ค.55 รายงานตัวภายในวันที่ 6 มี.ค.55 ระดับชั้น ม.4 รับสมัครวันที่ 16-20 ก.พ.55 สอบ 26 ก.พ.55 ประกาศผลวันที่ 4 มี.ค.55 รายงานตัวภายในวันที่ 6 มี.ค.55
ส่วนโรงเรียนที่จัดการศึกษาสำหรับเด็กพิการ รับสมัครวันที่ 1-30 เม.ย.55 ประกาศผลวันที่ 1 พ.ค.55 รายงานตัวภายในวันที่ 8 พ.ค.55
และโรงเรียนที่จัดการศึกษาสำหรับผู้ด้อยโอกาส รับสมัครวันที่ 16-25 ก.พ.55 สอบ 26-28 ก.พ.55 ประกาศผลวันที่ 29 ก.พ.55 และรายงานตัววันที่ 13 มี.ค.55
วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2554
จดหมายเปิดผนึก ดร.รังสรรค์ มณีเล็ก ฉบับที่ ๑๐/๒๕๕๔
จดหมายเปิดผนึกฉบับที่ 10 / 2554
สวัสดีครับพี่น้องชาวแผนและผู้สนใจทุกท่าน
วันนี้เริ่มต้นปีงบประมาณใหม่แล้ว หากเหตุการณ์ปกติ เราก็จะได้ใช้งบประมาณปี 2555 ตั้งแต่วันนี้เลย แต่เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลใหม่ ดังนั้นจึงทำให้งบประมาณปี 2555 ล่าออกไปจากกำหนดเดิมประมาณ 4 เดือน หากพิจารณาตามปฏิทินงบประมาณแล้ว งบประมาณจะเรียบร้อยในราวปลายเดือนมกราคม 2555 อย่างไรก็ตาม เราจะได้ใช้งบประมาณส่วนหนึ่งก่อนแต่ไม่เกินครึ่งหนึ่งของปี 2554 ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2554 เป็นต้นไป ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นเงินเดือน ค่าจ้าง ค่าตอบแทน ค่าใช้สอย คำที่สำนักงบประมาณใช้ก็คือ “ใช้งบประมาณปี 2554 ไปพลางก่อน” หลายท่านเข้าใจผิดกับคำดังกล่าว ซึ่งเข้าใจว่าใช้งบปี 2554 ซึ่งปัจจุบันไม่มีแล้ว จริง ๆ แล้วเป็นการใช้งบประมาณปี 2555 แต่ภายใต้กรอบวงเงินปี 2554 โดยได้มาไม่เกินครึ่งหนึ่งของปี 2554
จดหมายฉบับที่ 9/2554 ผมไม่ได้ตอบกระทู้เลย มีข้อแก้ตัวหลายประการครับ แต่เหตุผลหลัก ๆ ก็คือ บางสิ่งบางอย่างยังไม่ชัดเจน โดยเฉพาะเรื่องวิทยฐานะและการจ้างอัตราจ้าง มาชัดเจนเอาตอนปลายเดือนกันยายน 2554 จดหมายฉบับนี้คงคุยเรื่องวิทยฐานะ อัตราจ้าง งบประมาณปลายปี 54 และทิศทางการจัดการศึกษาปี 2555 เริ่มเลยนะครับ
เดิมคาดว่า สิ้นตุลาคม 2554 นี้ ผู้ที่ได้เลื่อนวิทยฐานะจะได้รับเงินค่าตอบแทนวิทยฐานะใหม่ไปเลย แล้วไปรอตกเบิกเดือนกุมภาพันธ์ 2555 เหตุการณ์ตอนนี้เปลี่ยนไปแล้วครับ กล่าวคือ ทั้งค่าตอบแทนวิทยฐานะใหม่ และตกเบิกวิทยฐานะต้องไปรับพร้อมกันในเดือนกุมภาพันธ์ 2555 และผู้ที่ได้รับตกเบิกรอบนี้เดิมขอไปถึงผู้ที่ได้รับคำสั่งถึงกุมภาพันธ์ 2554 แต่ขณะนี้ลดเป้าหมายลงไปอีก จะได้ตกเบิกสำหรับสำหรับผู้ที่ได้รับคำสั่งตั้งแต่ 1 ธันวาคม 2552 – 30 กันยายน 2553 ผมเห็นใจทุกท่านครับที่รอคอยเงินวิทยฐานะ แต่เรื่องนี้เหนือการควบคุมจริง ๆ ครับ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ สนผ.ได้รวบรวมข้อมูลผู้ที่ผ่านวิทยฐานะทั้งหมดถึงปัจจุบันเพื่อขออนุมัติใช้งบกลางจากคณะรัฐมนตรี คุณครูจะได้ไม่ต้องรอตกเบิกอีกต่อไปครับ
คงหายข้องใจแล้วนะครับ หลังจากที่มีหนังสือแจ้งให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทราบ เรื่อง การจ้างอัตราจ้างตำแหน่งต่าง ๆ สรุปว่าจ้างต่อทุกตำแหน่ง ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2554 เป็นต้นไป ถึงแม้ว่ามีบางตำแหน่งที่ คณะรัฐมนตรี ชุดเดิมตัดออกไป แต่ สพฐ.ก็พยายามขอตั้งงบประมาณเพิ่มเติมกลับมาอีก สำหรับเรื่องตำแหน่งถาวรของน้อง ๆ ธุรการ ขณะนี้
ก.ค.ศ. ยังไม่อนุมัติ แต่ สพฐ.ก็พยายามต่อสูให้ต่อไปครับ
ช่วงปลายปีงบประมาณ 2554 มีการจัดสรรงบประมาณลงสู่เขตพื้นที่ และโรงเรียน 3 รายการใหญ่ ๆ คือ งบแปรญัตติที่เป็นงบลงทุน งบปกติที่เป็นงบลงทุน (สิ่งก่อสร้าง ,ครุภัณฑ์) และงบดำเนินงาน (สื่อ อุปกรณ์ โต๊ะ – เก้าอี้) งบประมาณดังกล่าวหากส่วนใดดำเนินการได้ทัน ก็คงเรียบร้อยไปแล้ว ส่วนที่ดำเนินการไม่ทัน สำนักการคลังและสินทรัพย์ ก็ทำเรื่องกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีให้แล้ว (ถ้า สพท.แจ้งเรื่องให้ สคส. ขอกันเงิน) การกันเงินจะกันสองแบบ คือ กันเงินแบบมีหนี้ผูกพัน (ลงนามในสัญญาซื้อ – จ้าง แล้ว แต่งวดงานต้องทำเลย 30 กันยายน 54) และกันเงินแบบไม่มีหนี้ผูกพัน (ยังหาผู้ขาย – รับจ้างไม่ได้) ด้วยความที่ต้องทำงานแข่งกับเวลาที่กรมบัญชีกลางจะปิดระบบการกันเงินเหลื่อมปี ดังนั้นจึงเกิดความผิดพลาดเกี่ยวกับชื่อโรงเรียน หรือกำหนดชื่อโรงเรียนไว้ผิดเขตพื้นที่บ้างเหมือนกัน เรื่องนี้พี่น้องชาวแผนไม่ต้องกังวลครับ สพฐ.ได้ปรับแก้ไขให้ถูกต้องแล้วครับ และทำเรื่องแจ้งเขตพื้นที่แล้ว รายการที่กันเงินแบบไม่มีหนี้ ขณะนี้คงทำได้เพียงแค่เตรียมการหาผู้ขาย – ผู้รับจ้างเท่านั้น จะลงนามในสัญญาซื้อ – จ้างได้ก็ต่อเมื่อได้รับใบโอนเงินจากสำนักการคลังและสินทรัพย์ ซึ่งคาดว่าอย่างเร็วก็คงปลายเดือนตุลาคม อย่างช้าพฤศจิกายน 2554
เพื่อให้เกิดภาวะรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับทิศทางการจัดการศึกษา ปี 2555 ซึ่งล่าสุดได้มีการประชุม องค์กรหลักของกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2554 ที่ผ่านมา กระทรวงศึกษาธิการได้กำหนด วิสัยทัศน์ พันธกิจ กรอบแนวคิด เป้าหมาย ประเด็นยุทธศาสตร์ กลไลการขับเคลื่อน ซึ่งมีรายละเอียดพอสังเขปดังนี้
ภายใน ปี 2555 กระทรวงศึกษาธิการ จะเป็นองค์กรหลักที่ทรงประสิทธิภาพในการผลิตและพัฒนาทรัพยากรบุคลากรของชาติ เพื่อสร้างความเป็นอยู่ที่ดี สร้างความมั่งคั่งทางด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงทางสังคมให้กับประเทศ ด้วยฐานความรู้ ความคิดสร้างสรรค์ และศักยภาพของประเทศ
สามารถสร้างรายได้ที่มั่งคั่งและมั่นคง เพื่อเป็นบุคลากรที่มีวินัย เปี่ยมไปด้วยคุณธรรม จริยธรรม มีจิตสำนึก มีความรับผิดชอบต่อตนเอง ผู้อื่น และสังคม
1. คำนึงถึงศักยภาพและบริบทรอบๆ ตัวผู้เรียน
2. พัฒนาและยกระดับองค์ความรู้และกระบวนการเรียนการสอนให้ทัดเทียมอารยะประเทศ ด้วยการบริหารจัดการ
และเทคโนโลยีสมัยใหม่
3. มุ่งสู่เป้าหมายของการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและยกระดับศักยภาพในการทำงานให้กับบุคลากร
คนไทย ให้แข่งขันได้ในระดับสากล
2 กรอบระยะเวลาของแผน หมายถึง ช่วงเวลาในการดำเนินงานตามแผน ยุทธศาสตร์การจัดการศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน แบ่งเป็น 2 ช่วงเวลา ได้แก่
5 ภูมิภาคหลักของโลก หมายถึง ทวียุโรป ทวีปอเมริกา ทวีปออสเตรเลีย ทวีปแอฟริกา เพื่อให้ คนไทย “รู้ศักยภาพเขา”
5 ศักยภาพหลักของพื้นที่ หมายถึง ศักยภาพของทรัพยากรธรรมชาติในแต่ละพื้นที่ ศักยภาพของพื้นที่ตามหลักภูมิอากาศ ศักยภาพของภูมิประเทศ และทำเลที่ตั้งของแต่ละพื้นที่ ศักยภาพของศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตของแต่ละพื้นที่ และศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์ในแต่ละพื้นที่เพื่อให้คนไทย “รู้ศักยภาพเรา”
5 กลุ่มอาชีพใหม่ หมายถึง กลุ่มหลักสูตรใหม่ด้าน เกษตรกรรม อุตสาหกรรม พาณิชย กรรม ความคิดสร้างสรรค์ และด้านอำนวยการ บริหารจัดการและการบริการ เพื่อให้คนไทยสามารถปรับตัว “เท่าทัน และแข่งขันได้”
ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 1 การปรับตัวเข้าสู่ประชาคมอาเซียน/ประชาคมโลก
ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 2 การพัฒนาสถานศึกษาและองค์ความรู้
ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 3 การพัฒนาเทคโนโลยีและเครื่องมืออุปกรณ์
ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 4 การพัฒนาครูทั้งระบบ
ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 5 การพัฒนาศักยภาพผู้เรียน
ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 6 การวิจัยและถ่ายทอดองค์ความรู้
ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 7 การเพิ่มโอกาสทางการศึกษา
ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 8 การส่งเสริมการมีงานทำ
ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 9 การบริหารจัดการกลยุทธ์ของกระทรวงศึกษาธิการ
1. โครงการกองทุนพัฒนาคุณภาพชีวิตครู
2. โครงการกองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกพันกับรายได้ในอนาคต (กรอ.)
3. โครงการกองทุนตั้งตัวได้
4. โครงการครูคลังสมอง
5. โครงการปฏิรูปหลักสูตรการศึกษาแห่งชาติ
6. โครงการวิจัยศักยภาพพื้นที่
7. โครงการปฏิรูปเงินเดือนและค่าตอบแทน
8. โครงการสนับสนุนค่าใช้จ่ายการจัดการศึกษาตั้งแต่แรกเกิดจนจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน
9. โครงการพัฒนาผู้นำตามธรรมชาติ
10.โครงการเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา
11.โครงการศูนย์ฝึกอาชีพชุมชน
12.โครงการเทียบระดับการศึกษา
13.โครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์แท็บเล็ต
14.โครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน
15.โครงการถ่ายทอดผลงานวิจัย
16.โครงการมัธยมศึกษาเชิงปฏิบัติการ
17.โครงการเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมโลก
18.โครงการพัฒนาระบบบริหารวิสาหกิจเพื่อการศึกษา
19.โครงการพัฒนาการศึกษาผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ
20.โครงการโครงการจัดทำแผนยุทธศาสตร์การจัดการศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
ศึกษาธิการร่วมกับผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการ (ต.ค. – พ.ย. 54)
คณะกรรมการติดตามและประเมินผล ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธาน เลขาธิการ
สภาการศึกษาเป็นเลขานุการ
วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2554
(ร่าง) ยุทธศาสตร์กระทรวงศึกษาธิการ 2555
(ร่าง) ยุทธศาสตร์กระทรวงศึกษาธิการ 2555
รูปแบบการดำเนินงานบูรณาการระบบดิจิตอลเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาและยกระดับการศึกษาไทย ดาวน์โหลด
นโยบายพรรคเพื่อไทย ดาวน์โหลด
ร่างยุทธศาสตร์กระทรวงศึกษาธิการ 2554-2555 ดาวน์โหลด1 ดาวน์โหลด 2
ยุทธศาสตร์ 2555 ดาวน์โหลด
Road Map ยุทธศาสตร์ 2555 ดาวน์โหลด
ศธ.เตรียมฟื้นโครงการทุนอำเภอ
นายอภิชาติ จีระวุฒิ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) เปิดเผยว่า ตามที่นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รมว.ศธ. ได้มอบนโยบายให้ศธ.ดำเนินการนั้น ในส่วนของสำนักงานปลัด ศธ. ซึ่งดูแล 3 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย(กศน.)สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.) และ สำนักบริหารงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน(สช.)รมว.ศธ.ได้มอบหมายให้ กศน.เร่งดำเนินการ 2 เรื่องหลัก คือ 1.การจัดการศึกษาผู้สูงอายุ , เด็กเร่ร่อน และเด็กที่ออกกลางคันจากโรงเรียนในระบบ และ 2.ให้เพิ่มสัดส่วนการจัดการศึกษาต่อเนื่องหรือการศึกษาอาชีพ เพื่อให้ประชาชนสามารถประกอบอาชีพได้ ซึ่ง กศน.จะต้องไปปรับกระบวนการจัดการเรียนการสอนและจัดหาวิทยากรมาสอนอาชีพเพิ่มขึ้น โดยตนได้มอบให้สำนักงาน กศน.ไปดำเนินการแล้ว อย่างไรก็ตามในการจัดการศึกษาอาชีพนั้นอาจจะมีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายค่าตอบแทนวิทยากร เนื่องจากที่ไม่ได้ปรับมาตั้งแต่ปี 2532 แต่เมื่อ รมว.ศธ. ให้ความสำคัญก็คงต้องมีการปรับเพื่อนำมาจ้างวิทยากรที่มีความรู้สามารถจริง ๆ เข้ามาสอนอาชีพได้ และจูงใจให้คนเข้ามาเรียนมากขึ้น
ปลัด ศธ.กล่าวต่อไปว่า ในส่วนของ สช.นั้น คงต้องไปปรับวิธีการจัดการเรียนการสอนในโรงเรียนเอกชน ทั้งสายสามัญและสายวิชาชีพให้สอดคล้องกับนโยบายมากขึ้น สำหรับ ก.ค.ศ.ก็ต้องหาวิธีที่จะทำให้ครูปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเต็มความรู้ความสามารถและยกระดับการเรียนการสอนให้ดีที่สุด โดยใช้มาตรการจูงใจด้วยระบบตำแหน่งและอัตราเงินเดือน และที่สำคัญ ก.ค.ศ.จะต้องไปพิจารณาเรื่องการปรับอัตราเงินเดือนครูที่มีวุฒิปริญญาตรีให้ได้รับเงินเดือนไม่ต่ำกว่า 15,000 บาทต่อเดือน ซึ่งจะต้องดูทั้งระบบว่าจะปรับอย่างไร เพื่อแจ้งไปยังหน่วยงานที่มีครูในสังกัดดำเนินการของบประมาณส่วนนี้เพิ่มเติม
“รมว.ศธ.ยังมอบหมายให้ประสานงานไปยังคุรุสภาเพื่อพิจารณาทบทวนเรื่องใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู เพื่อดูแลผู้ที่ไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูแต่มีความจำเป็นที่จะต้องขอให้มาช่วยสอนในสาขาที่ขาดแคลน เช่น ช่างสาขาต่าง ๆ หรือ พ่อครัว เป็นต้น นอกจากนี้รมว.ศธ.ยังมีนโยบายที่จะฟื้น “โครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน” ซึ่งจะเป็นรุ่นที่ 3 หลังจากยุติโครงการไปหลายปี โดยจะเริ่มในปี 2555 ซึ่งสำนักงานปลัดศธ.จะต้องเร่งดำเนินการต่อไป”นายอภิชาตกล่าว
ที่มา : นสพ.เดลินิวส์
"พท."รื้อใหญ่"เรียนฟรี"ไม่ให้ครบทุกคน
"ภาวิช" เผยพรรคเพื่อไทยเตรียมรื้อนโยบายเรียนฟรี 15 ปี เปลี่ยนคำเรียกใหม่เป็น "โครงการรัฐออกค่าใช้จ่ายให้" จะไม่แจกฟรีให้เด็กทุกคนอีก แต่จะให้เรียนฟรีเฉพาะครอบครัวยากจนเท่านั้น และแบ่งโซนจัดสรรงบตามสภาพพื้นที่ ดูแลเด็กตั้งแต่ในท้องยันคลอดถึง ม.ปลาย จวกนโยบายเรียนฟรี ปชป.ล้มเหลว ทำให้เกิดปัญหาขาดงบ ต้องปิด รร.ขนาดเล็ก "ปลัด ศธ." ขานรับพร้อมไปศึกษาทันที
นายภาวิช ทองโรจน์ ผู้จัดทำนโยบายการศึกษา พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงความชัดเจนนโยบายเรียนฟรีตั้งแต่แรกเกิดว่า ขณะนี้นโยบายดังกล่าวได้มีการเปลี่ยนคำเปลี่ยนประโยคแล้ว เพื่อไม่ให้ประชาชนเข้าใจผิดเหมือนนโยบายของรัฐบาลเก่าที่ใช้คำว่า “ฟรี” จนทำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่ารัฐบาลได้ออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด 100% โดยการเปลี่ยนคำเปลี่ยนประโยคเป็น “โดยรัฐออกค่าใช้จ่ายให้” เบื้องต้นสำหรับนโยบายดังกล่าวนั้น จะออกค่าใช้จ่ายในส่วนใด เท่าไหร่ ก็ต้องรอตั้งรัฐบาลให้ได้ก่อน ซึ่งวัตถุประสงค์ของนโยบายนี้ชัดเจนอยู่แล้วที่ต้องการจะออกค่าเล่าเรียนให้นักเรียน แต่ก็อาจจะไม่ทั้งหมด เพราะต้องมาดูบริบทของพื้นที่ก่อน ว่าพื้นที่ไหนควรออกค่าใช้จ่ายให้ได้ทั้งหมด และพื้นที่ไหนควรออกค่าใช้จ่ายแค่บางส่วน แต่ยืนยันว่ารัฐบาลใหม่จะออกค่าใช้จ่ายในแต่ละรายการให้มากกว่ารัฐบาลเก่าแน่นอน
“คงทำไม่ได้แน่ หากรัฐบาลต้องออกค่าใช้จ่ายให้นักเรียนทั้งหมด เพราะต้องใช้งบประมาณเป็นจำนวนมาก แต่แนวทางเบื้องต้น รัฐก็ยังให้โอกาสสำหรับครอบครัวที่มีฐานะยากจนจริงๆ ที่จะออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมดด้วย อย่างไรก็ตาม นอกจากนี้ในนโยบายดังกล่าวก็มีวัตถุประสงค์ที่จะดูแลเด็ก ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่อยู่ในครรภ์เลย เบื้องต้นอาจเริ่มต้นด้วยการแนะนำการปฏิบัติตัวให้แม่ทั้งก่อนคลอดและหลังคลอด การแนะนำเรื่องสารอาหาร อาทิ ไอโอดีน เป็นต้น”
นายภาวิชกล่าวอีกว่า สำหรับนโยบายเรียนฟรี เรียนดี 15 อย่างมีคุณภาพ ของรัฐบาลเก่านั้น ตนเห็นว่าล้มเหลวอย่างมาก เพราะดันไปตั้งงบอุดหนุนรายหัวให้เด็กในจำนวนที่เท่ากันทั้งหมด โดยไม่ได้ดูว่าเด็กคนไหนมีฐานะครอบครัวดีหรือยากจน ส่งผลให้งบอุดหนุนดังกล่าวไม่ได้ไปช่วยเหลือเด็กที่มีครอบครัวฐานะยากจนมากนัก ดังนั้น นโยบายของรัฐบาลใหม่ก็จะมีการจัดสรรงบอุดหนุนรายหัวให้เด็กไม่เท่ากัน โดยดูบริบทฐานะทางครอบครัวเป็นหลัก อาทิ เด็กจนได้รับการอุดหนุนทั้งหมด เด็กรวยได้รับการอุดหนุนบางส่วน หรือไม่ได้รับเลย เพื่อจะได้ไม่ใช้งบมาก และจะได้เกิดประโยชน์กับเด็กจนอย่างแท้จริง ดังนั้น นโยบายของรัฐบาลใหม่นอกจากจัดสรรงบอุดหนุนรายหัวใหม่ เพื่อให้มีงบเหลือแล้ว ก็จะไม่ไปไล่ปิด รร.ขนาดเล็ก และไม่ไปจำกัดการซื้อหนังสืออ่านเสริมด้วย นโยบายนี้จะสามารถเริ่มใช้ได้ในปีการศึกษา 2555
“ผมได้ข้อมูลมาว่ารัฐบาลเก่าได้ใช้งบไปอุดหนุนเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้งบในส่วนอื่นๆ เริ่มขาดและถูกจำกัด อย่างการซื้อหนังสือเรียนฟรี รัฐก็จัดซื้อหนังสือหลักๆ ของแต่ละกลุ่มสาระเท่านั้น โดยไม่มีการจัดซื้อหนังสือเพื่อไว้อ่านเสริมเลย ส่งผลให้คะแนนสอบต่างๆ เริ่มจะตก อาทิ ผลสอบโอเน็ต” นายภาวิชกล่าว
นายอภิชาติ จีระวุฒิ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ปลัด ศธ.) กล่าวว่า ตนได้เรียกประชุมหัวหน้าส่วนราชการสำนักงานปลัด ศธ. เพื่อเตรียมการปรับแผนโครงการตามนโยบายพรรคเพื่อไทย โดยมีเรื่องสำคัญที่ได้มอบหมายให้ไปจัดทำรายละเอียด คือ โครงการเรียนฟรี ที่รัฐบาลใหม่มีนโยบายว่าให้เรียนฟรีเริ่มตั้งแต่แรกเกิด
ซึ่งในทางปฏิบัตินั้น เด็กทารกแรกเกิดไปจนกระทั่งก่อนอายุ 4 ปี จะอยู่ในการดูแลของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ส่วนกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) จะดูแลตั้งแต่อนุบาลไปจนถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย ดังนั้น ทั้ง 3 หน่วยงานอาจจะต้องมาหารือร่วมกัน โดยเบื้องต้นคงต้องรอดูรายละเอียดที่แน่ชัดว่า นโยบายดังกล่าวจะทำให้ต้องมีการจำแนกงบประมาณเรียนฟรีไปให้แต่ละหน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลเด็กหรือไม่ ทั้งนี้ ในฐานะผู้ปฏิบัติงานมองว่าการดำเนินโครงการเรียนฟรี เรียนดี 15 ปีอย่างมีคุณภาพ ที่ผ่านมาระยะเวลา 3 ปีนั้น ถือว่าประสบความสำเร็จ ถึงแม้ในช่วงแรกอาจจะมีติดขัดบ้าง แต่ขณะนี้ก็ได้ตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ค่อนข้างครบถ้วนแล้ว.
ที่มา : นสพ.ไทยโพสต์
ก.ค.ศ.ปรับใหญ่เกณฑ์แต่งตั้งผอ.ร.ร
ก.ค.ศ.ปรับใหญ่เกณฑ์แต่งตั้งผอ.ร.ร
ก.ค.ศ.ปรับใหญ่เกณฑ์แต่งตั้งผอ.ร.ร. ยึด4หลักการย้าย-ยื่นคำร้องขอได้ตั้งแต่ 9-19ส.ค.
นางศิริพร กิจเกื้อกูล เลขาธิการ ก.ค.ศ. กล่าวภายหลังการประชุมก.ค.ศ. เมื่อเร็วๆ นี้ว่า ที่ประชุมเห็นชอบการปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการย้ายผู้บริหารสถานศึกษาสังกัด สพฐ. ซึ่งมีประเด็นหลักๆ ที่ปรับแก้ 1.หลักเกณฑ์และวิธีการย้ายใหม่ เช่น ผู้บริหารสถานศึกษาหมายถึง ผอ.และรอง ผอ.สถานศึกษา 2.กำหนดให้การแต่งตั้งโยกย้ายผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ เปิดโอกาสให้ผู้ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ปฏิบัติงานในสถานศึกษานี้ แต่มีความสามารถมีประสบการณ์ไม่น้อยกว่า 1 ปี 3.การจัดประเภทของสถานศึกษาเป็น 4 ประเภท ได้แก่ สถานศึกษาสังกัด สพป. สพม. สถานศึกษาสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษและสถานศึกษาที่มีวัตถุประสงค์พิเศษ และสถานศึกษาคุณภาพพิเศษ 4.การกำหนดขนาดสถานศึกษา 4 ขนาด เปิดช่องให้ผู้บริหารสถานศึกษาขนาดเล็กย้ายข้ามไปขนาดใหญ่ได้หากเหมาะสม
"การขอย้ายกรณีพิเศษแต่ละครั้งจะมีการตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองในระดับเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา และมัธยมศึกษา ซึ่งมี ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเป็นประธาน นอกจากนี้จะให้มีคณะกรรมการกลั่นกรองการย้ายผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ มีรองฯ กพฐ.เป็นประธาน" นางศิริพรกล่าว
เลขาธิการ ก.ค.ศ.กล่าวต่อว่า การย้ายผู้บริหารสถานศึกษาในกลุ่มสถานศึกษาวัตถุประสงค์พิเศษ และสถานศึกษาคุณภาพพิเศษ จะให้มีคณะกรรมการกลั่นกรอง มีเลขาฯ กพฐ.เป็นประธาน เสนอให้อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่พิจารณา ซึ่งอาจเห็นชอบด้วยหรือไม่ก็ได้ สำหรับรายชื่อร.ร.กลุ่มนี้ สพฐ.จะต้องเสนอให้ที่ประชุม กพฐ.เห็นชอบ และประกาศในวันที่ 8 ส.ค.นี้ สำหรับปฏิทินการย้ายประจำปี 2554 จะให้ยื่นคำร้องขอย้ายระหว่างวันที่ 9-19 ส.ค.
ที่มา : นสพ.ข่าวสด
“วรวัจน์” ประกาศแจกแท็บเล็ตครูทุกคน
“วรวัจน์” ประกาศแจกแท็บเล็ตครูทุกคน ปัดแบ่งงานใหม่ อ้อนขอเวลาตัดสิน ยาหอมบิ๊ก ศธ. ไม่มีโยกย้ายฟ้าผ่า
นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รมว.ศึกษาธิการ ให้สัมภาษณ์กรณี รมช.ศึกษาธิการจะขอหารือเรื่องการแบ่งงานใหม่ เนื่องจากมองว่าเป็นการรวบอำนาจและอาจจะเป็นปัญหาทางการเมืองในอนาคตว่า เรื่องนี้น่าจะทำความเข้าใจกันได้ ปัญหาคนในพรรคไม่ใช่ประเด็นปัญหา เรื่องดีที่สุดคือประสิทธิภาพของงานและสิ่งที่ประชาชนได้รับ อยากให้ลองทำงานในรูปแบบใหม่ก่อนว่าดีหรือไม่ดี ทำไมต้องกลับไปสู่ระบบเก่า ส่วนที่หลายฝ่ายมองว่าคำพูดมองดูดีแต่อาจมีปัญหาในทางปฏิบัตินั้น เรื่องนี้มีการพูดคุยกันแล้วทุกองค์กรหลักก็บอกว่าไม่มีปัญหาสามารถแบ่งงานกันได้ หากรัฐมนตรีท่านไหนลงพื้นที่ทุกองค์กรหลักจะต้องลงไปหมดเพื่อบูรณาการการทำงานร่วมกันจะทำให้มีพลังพัฒนาพื้นที่ ไม่ใช่รัฐมนตรีคนไหนกำกับแท่งไหนก็ลงไปเฉพาะแท่งนั้น ทั้งนี้ หากแบ่งงานในความรับผิดชอบตามภูมิภาคแล้วประสิทธิภาพของงานออกมาไม่ดี ตนก็พร้อมที่จะพูดคุยกันอีกครั้ง แต่ส่วนตัวมองว่ารูปแบบการทำงานแบบนี้อาจจะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานดีก็ได้ ขอเวลาได้ลองทำงานดูก่อน
ต่อข้อถามว่าจะให้เวลาข้าราชการทำงานกี่เดือนถึงจะพิจารณาโยกย้าย นายวรวัจน์กล่าวว่า จะปล่อยให้เป็นไปตามวาระปกติ เพราะตนไม่มีอะไรในใจ ไม่มีคนของใคร ตนเข้ามาทำงานร่วมกัน คนไหนมีประสิทธิภาพก็ทำหน้าที่ไป ยืนยันว่าจะไม่เอาใครเข้ามาเป็นพิเศษหรือย้ายข้ามห้วย ยกเว้นเพื่อประสิทธิภาพของงานเท่านั้น
รมว.ศึกษาธิการกล่าวด้วยว่า ส่วนการแจกแท็บเล็ตนั้น ไม่ใช่จะมีเฉพาะนักเรียนเท่านั้นแต่ครูทุกคนที่อยู่ในระบบการเรียนการสอนก็ต้องมีแท็บเล็ตด้วยเพราะต้องใช้ตรวจสอบส่งความรู้และสื่อสารกับนักเรียน อย่างไรก็ตามการกำหนดสเปกคงไม่ใช่สเปกเดียวแล้วใช้กับทุกระดับชั้น แต่ให้เป็นไปตามหลักสูตรของแต่ละชั้นเรียน ซึ่งได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ไปกำหนดสเปก ส่วนกรณีที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศแสดงท่าทีจะซื้อแท็บเล็ตนั้นต้องพูดคุยกันอีกครั้ง
ขณะที่ ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ประธานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กล่าวว่าการปฏิรูปการศึกษาไทยในทศวรรษใหม่จำเป็นต้องเริ่มต้นที่ผลการเรียนรู้ของลูกศิษย์เป็นตัวตั้ง ไม่ได้อยู่ที่ครู ผู้บริหาร งบประมาณ กระทรวง หรือแม้กระทั่งการซื้อแท็บเล็ตแจกนักเรียนตามที่มีพรรคการเมืองใช้หาเสียง โดยอ้างว่าจะทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาดีขึ้น.
โดย: ทีมข่าวการศึกษานายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รมว.ศึกษาธิการ ให้สัมภาษณ์กรณี รมช.ศึกษาธิการจะขอหารือเรื่องการแบ่งงานใหม่ เนื่องจากมองว่าเป็นการรวบอำนาจและอาจจะเป็นปัญหาทางการเมืองในอนาคตว่า เรื่องนี้น่าจะทำความเข้าใจกันได้ ปัญหาคนในพรรคไม่ใช่ประเด็นปัญหา เรื่องดีที่สุดคือประสิทธิภาพของงานและสิ่งที่ประชาชนได้รับ อยากให้ลองทำงานในรูปแบบใหม่ก่อนว่าดีหรือไม่ดี ทำไมต้องกลับไปสู่ระบบเก่า ส่วนที่หลายฝ่ายมองว่าคำพูดมองดูดีแต่อาจมีปัญหาในทางปฏิบัตินั้น เรื่องนี้มีการพูดคุยกันแล้วทุกองค์กรหลักก็บอกว่าไม่มีปัญหาสามารถแบ่งงานกันได้ หากรัฐมนตรีท่านไหนลงพื้นที่ทุกองค์กรหลักจะต้องลงไปหมดเพื่อบูรณาการการทำงานร่วมกันจะทำให้มีพลังพัฒนาพื้นที่ ไม่ใช่รัฐมนตรีคนไหนกำกับแท่งไหนก็ลงไปเฉพาะแท่งนั้น ทั้งนี้ หากแบ่งงานในความรับผิดชอบตามภูมิภาคแล้วประสิทธิภาพของงานออกมาไม่ดี ตนก็พร้อมที่จะพูดคุยกันอีกครั้ง แต่ส่วนตัวมองว่ารูปแบบการทำงานแบบนี้อาจจะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานดีก็ได้ ขอเวลาได้ลองทำงานดูก่อน
ต่อข้อถามว่าจะให้เวลาข้าราชการทำงานกี่เดือนถึงจะพิจารณาโยกย้าย นายวรวัจน์กล่าวว่า จะปล่อยให้เป็นไปตามวาระปกติ เพราะตนไม่มีอะไรในใจ ไม่มีคนของใคร ตนเข้ามาทำงานร่วมกัน คนไหนมีประสิทธิภาพก็ทำหน้าที่ไป ยืนยันว่าจะไม่เอาใครเข้ามาเป็นพิเศษหรือย้ายข้ามห้วย ยกเว้นเพื่อประสิทธิภาพของงานเท่านั้น
รมว.ศึกษาธิการกล่าวด้วยว่า ส่วนการแจกแท็บเล็ตนั้น ไม่ใช่จะมีเฉพาะนักเรียนเท่านั้นแต่ครูทุกคนที่อยู่ในระบบการเรียนการสอนก็ต้องมีแท็บเล็ตด้วยเพราะต้องใช้ตรวจสอบส่งความรู้และสื่อสารกับนักเรียน อย่างไรก็ตามการกำหนดสเปกคงไม่ใช่สเปกเดียวแล้วใช้กับทุกระดับชั้น แต่ให้เป็นไปตามหลักสูตรของแต่ละชั้นเรียน ซึ่งได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ไปกำหนดสเปก ส่วนกรณีที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศแสดงท่าทีจะซื้อแท็บเล็ตนั้นต้องพูดคุยกันอีกครั้ง
ขณะที่ ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ประธานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กล่าวว่าการปฏิรูปการศึกษาไทยในทศวรรษใหม่จำเป็นต้องเริ่มต้นที่ผลการเรียนรู้ของลูกศิษย์เป็นตัวตั้ง ไม่ได้อยู่ที่ครู ผู้บริหาร งบประมาณ กระทรวง หรือแม้กระทั่งการซื้อแท็บเล็ตแจกนักเรียนตามที่มีพรรคการเมืองใช้หาเสียง โดยอ้างว่าจะทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาดีขึ้น.
18 สิงหาคม 2554, 07:00 น.
วันอังคารที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2554
นโยบาย 6 เดือน 6 คุณภาพ ของ กระทรวงศึกษาธิการ
นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยผลการประชุมกระทรวงศึกษาธิการครั้งที่ ๗/๒๕๕๓ เมื่อเร็วๆ นี้
รมว.ศธ. กล่าวว่า จุดเน้นเชิงนโยบายเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาการศึกษาของ ศธ.ในปีงบประมาณ ๒๕๕๔ ได้ขอให้องค์กรหลักและส่วนราชการในกำกับ ศธ. มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรม โดยร่วมกันทำงานเชิงบูรณาการ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และทำงานอย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อพัฒนาการศึกษาของ ศธ.ให้เจริญก้าวหน้า และสนองตอบต่อการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สองอย่างแท้จริง โดยควรทำให้ประชาชนเห็นว่า เด็กไทยจะเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพได้อย่างไร และประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับจากการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง
ที่ประชุมได้พิจารณาประเด็นสำคัญ ดังนี้
ที่ประชุมได้พิจารณาประเด็นสำคัญ ดังนี้
1.จุดเน้นการพัฒนาคุณภาพการศึกษาทั้งระบบ ในวันที่ 22 ต.ค.นี้ ศธ.จะมีการประกาศจุดเน้น “6 เดือน 6 คุณภาพการศึกษา” ให้มีความชัดเจน ได้แก่
1. โครงการเรียนฟรี 15 ปี อย่างมีคุณภาพซึ่งได้รับงบปี 2554 เพิ่มเป็น 8 หมื่นล้านบาท ที่จะต้องลงไปสู่สถานศึกษาอย่างแท้จริง โดยได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ไปวางระบบให้ภาคีเครือข่ายเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการงบ เพื่อให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนอย่างแท้จริง
2. การประกาศจุดเน้นเรื่องคุณภาพของผู้เรียนแต่ละระดับ
3. เน้นการศึกษาตลอดชีวิตของประชาชน โดยจะประกาศให้ กศน.ตำบลเป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิตของประชาชนกว่า 30 ล้านคน
3. เน้นการศึกษาตลอดชีวิตของประชาชน โดยจะประกาศให้ กศน.ตำบลเป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิตของประชาชนกว่า 30 ล้านคน
4.คุณภาพสถานศึกษายุคใหม่ที่จะส่งเสริมให้มีโรงเรียนดีประจำตำบล เพื่อเพิ่มความเท่าเทียมทางการศึกษาให้มากขึ้น
5.การส่งเสริมเทคโนโลยีและสารสนเทศ โดยจัดตั้งกองทุนเทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล และ
6.คุณภาพครู โดยจะดำเนินการพัฒนาครูทั้งระบบ ซึ่งตนได้มอบหมายให้องค์กรหลังที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับแต่ละจุดเน้นนำไปบูรณาการเพื่อให้การดำเนินงานมีความเชื่อมโยงกันต่อไป
• ข้อเสนอนโยบายการจัดสมัชชาการศึกษาเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่ง สกศ.ได้ดำเนินโครงการวิจัย เรื่อง การพัฒนารูปแบบสมัชชาการศึกษาเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อศึกษาและออกแบบสมัชชาการศึกษาที่มีประสิทธิภาพในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา และสอดคล้องกับแผนการศึกษากลุ่มจังหวัด/จังหวัด
โดยมีการทดลองนำร่องจัดสมัชชาการศึกษาใน ๘ จังหวัด ใน ๔ ภูมิภาคๆ ละ ๑ กลุ่มจังหวัด ได้แก่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง จ.อุบลราชธานีและอำนาจเจริญ ภาคเหนือตอนล่าง ๑ จ.พิษณุโลกและอุตรดิตถ์ ภาคกลางตอนบน ๑ จ.พระนครศรีอยุธยาและนนทบุรี และภาคใต้ชายแดน จ.สงขลาและสตูล
ซึ่งผลการวิจัยพบว่า รูปแบบการจัดสมัชชาการศึกษา ควรเป็นรูปแบบที่เกิดจากการมีส่วนร่วมและรวมพลังของทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง เรียกว่า ๓๓๓ หรือ “Triple Three Model” ซึ่งประกอบด้วย
- ๓ ตัวแรก หมายถึง ระดับจัดสมัชชาการศึกษา ๓ ระดับ ได้แก่ ระดับจังหวัด ระดับกลุ่มจังหวัด และระดับชาติ
- ๓ ตัวที่สอง หมายถึง องค์ประกอบสมัชชาในแต่ละระดับ มี ๓ ภาค ได้แก่ ภาคองค์ความรู้ ภาคประชาชน และภาครัฐ ที่มีการสื่อสารแบบสองทาง
- ๓ ตัวที่สาม หมายถึง กิจกรรมของสมัชชาการศึกษาแต่ละระดับ มี ๓ กิจกรรม ได้แก่ กิจกรรมวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ การประชุมสมัชชา และการติดตามผลข้อเสนอเชิงนโยบายและยุทธศาสตร์สู่การปฏิบัติ
รมว.ศธ.ได้มอบหมายให้ สกศ.นำผลการวิจัยครั้งนี้ร่วมกับข้อเสนอของคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สองด้านการมีส่วนร่วม เพื่อดำเนินการกำหนดวิธีการและจัดรูปแบบการมีส่วนร่วมให้หลากหลายเพิ่มมากขึ้น ซึ่ง รมว.ศธ.ได้เสนอให้มีรูปแบบการมีหุ้นส่วนทางการศึกษา PPP รูปแบบกรรมการสถานศึกษาทุกระดับ และรูปแบบโรงเรียนดีประจำตำบล นอกจากนี้ รมว.ศธ.ยังได้กล่าวถึงผลการวิจัยของคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ได้ให้คะแนนความพึงพอใจเกี่ยวกับความเชื่อว่าจะสามารถปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สองได้สำเร็จ ถึงร้อยละ ๖ ซึ่งนับว่าเป็นระดับที่น่าพึงพอใจ แต่ยังมีจุดอ่อนด้านการมีส่วนร่วม จึงขอให้ สกศ. ไปศึกษาการสร้างการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง
• รูปแบบการพัฒนาศักยภาพครู บุคลากรทางการศึกษา และผู้เรียนในการใช้สื่อเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่ง สกศ.ได้รับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยราชภัฎมหาสารคาม ในการจัดอบรมครูและบุคลากรทางการศึกษา ๔ ภูมิภาค ๔ รุ่นๆ ละ ๖๐ คน เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ ทักษะ และเทคโนโลยี ผลงานการสร้างสรรค์สื่อ โดยให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหนังสือ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Book และนำสื่อที่ผลิตไปใช้กับนักเรียน ซึ่งมีรูปแบบความร่วมมือระหว่างองค์กรกับหน่วยงานภาครัฐ และเอกชนด้วย
สำหรับผลการประเมินครูและบุคลากรทางการศึกษาเรื่องความรู้ความเข้าใจด้านการใช้สื่อและเทคโนโลยี ตลอดถึงกระบวนการพัฒนาหนังสือ พบว่า ครูและบุคากรทางการศึกษา มีความรู้ความเข้าใจด้านการใช้สื่อ และกระบวนการพัฒนาหนังสือเพิ่มขึ้น มีทักษะการใช้เทคโนโลยีและผลงานสร้างสรรค์สื่อ สามารถพัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่มีรูปภาพ สีสัน ดึงดูดความสนใจได้หลายรูปแบบ นอกจากนี้ยังพบว่า ครูและบุคลากรทางการศึกษา เห็นว่า การนำสื่อและเทคโนโลยีไปใช้ในสถานศึกษา เป็นสิ่งที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการพัฒนาคุณภาพทางการศึกษา
รมว.ศธ.กล่าวย้ำเน้นเกี่ยวกับการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศว่า การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาเป็นนโยบายหลักของ ศธ.อยู่แล้ว จึงได้มอบหมายให้ สป.จัดการพัฒนา e-Learning เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา และนำผลการอบรมครูไปร่วมเพื่อดำเนินการขับเคลื่อนโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศให้เป็นนโยบายหลักต่อไป
• เป้าหมายและการพัฒนาโรงเรียนดีประจำตำบล ปี ๒๕๕๓-๒๕๕๗ และผลการดำเนินงาน ภาพความสำเร็จในการพัฒนาโรงเรียนดีประจำอำเภอ ซึ่ง สพฐ.ได้เสนอการพัฒนาสถานศึกษาให้ไปสู่สถานศึกษายุคใหม่ ซึ่งมีจำนวนโรงเรียนทั้งหมด ๓๒,๐๐๐ โรงเรียน ประกอบด้วย ยกระดับเป็นโรงเรียนสู่มาตรฐานสากล ๕๐๐ โรงเรียน โรงเรียนดีประจำอำเภอ ๒,๕๐๐ โรงเรียน ยกระดับมาตรฐานคุณภาพเป็นโรงเรียนดีประจำตำบล ๗,๐๐๐ โรงเรียน ส่วนอีก ๒๒,๐๐๐ โรงเรียน เป็นโรงเรียนขนาดเล็กในชุมชนและหมู่บ้าน สำหรับโรงเรียนดีประจำตำบล ได้มีการกำหนดเป้าหมายและยุทธศาสตร์ในการดำเนินการพัฒนาโรงเรียนดีประจำตำบล ในรูปแบบ ๗๗๗ คือ
- ๔ เดือนแรก ดำเนินการ ๗ ประการ คือ มีแผนยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน มีเป้าหมายพัฒนานักเรียนที่เข้าใจถูกต้องตรงกัน สถานศึกษาสะอาด มีบริเวณโดยรอบร่มรื่น สวยงาม มีบรรยากาศอบอุ่นเหมือนบ้าน มีความปลอดภัย ปลอดสารเสพติด และเปิดโอกาสให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของและพัฒนา
- ๔ เดือนต่อมาจะต้องดำเนินการ ๗ ประการ คือ มีห้องสมุด ๓ ดี มีห้องปฏิบัติการ มีศูนย์การเรียนรู้อาชีพ มีศูนย์กีฬาชุมชน มีห้องสุขาที่ถูกสุขลักษณะ มีครูที่ใช้แหล่งเรียนรู้และเทคโนโลยีสารสนเทศ และมีการบริหารที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลง
- อีก ๔ เดือนต่อไป ต้องการให้โรงเรียนดีประจำตำบลมี ๗ อย่าง คือ มีชื่อเสียงดี มีนักเรียนใฝ่รู้ ปลูกฝังให้นักเรียนใฝ่เรียน และใฝ่ดี มีความเป็นไทย สุขภาพดี และรักการงานอาชีพ
รมว.ศธ.กล่าวเพิ่มเติมว่า ศธ.จะประกาศการพัฒนาสถานศึกษายุคใหม่ ในวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดโครงการโรงเรียนดีประจำตำบล เพื่อให้มีการขับเคลื่อนเรื่องสถานศึกษายุคใหม่อย่างเป็นรูปธรรม โดยได้มอบให้ สพฐ.ดำเนินการ ๓ เรื่อง ได้แก่
• ข้อเสนอนโยบายการจัดสมัชชาการศึกษาเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่ง สกศ.ได้ดำเนินโครงการวิจัย เรื่อง การพัฒนารูปแบบสมัชชาการศึกษาเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อศึกษาและออกแบบสมัชชาการศึกษาที่มีประสิทธิภาพในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา และสอดคล้องกับแผนการศึกษากลุ่มจังหวัด/จังหวัด
โดยมีการทดลองนำร่องจัดสมัชชาการศึกษาใน ๘ จังหวัด ใน ๔ ภูมิภาคๆ ละ ๑ กลุ่มจังหวัด ได้แก่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง จ.อุบลราชธานีและอำนาจเจริญ ภาคเหนือตอนล่าง ๑ จ.พิษณุโลกและอุตรดิตถ์ ภาคกลางตอนบน ๑ จ.พระนครศรีอยุธยาและนนทบุรี และภาคใต้ชายแดน จ.สงขลาและสตูล
ซึ่งผลการวิจัยพบว่า รูปแบบการจัดสมัชชาการศึกษา ควรเป็นรูปแบบที่เกิดจากการมีส่วนร่วมและรวมพลังของทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง เรียกว่า ๓๓๓ หรือ “Triple Three Model” ซึ่งประกอบด้วย
- ๓ ตัวแรก หมายถึง ระดับจัดสมัชชาการศึกษา ๓ ระดับ ได้แก่ ระดับจังหวัด ระดับกลุ่มจังหวัด และระดับชาติ
- ๓ ตัวที่สอง หมายถึง องค์ประกอบสมัชชาในแต่ละระดับ มี ๓ ภาค ได้แก่ ภาคองค์ความรู้ ภาคประชาชน และภาครัฐ ที่มีการสื่อสารแบบสองทาง
- ๓ ตัวที่สาม หมายถึง กิจกรรมของสมัชชาการศึกษาแต่ละระดับ มี ๓ กิจกรรม ได้แก่ กิจกรรมวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ การประชุมสมัชชา และการติดตามผลข้อเสนอเชิงนโยบายและยุทธศาสตร์สู่การปฏิบัติ
รมว.ศธ.ได้มอบหมายให้ สกศ.นำผลการวิจัยครั้งนี้ร่วมกับข้อเสนอของคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สองด้านการมีส่วนร่วม เพื่อดำเนินการกำหนดวิธีการและจัดรูปแบบการมีส่วนร่วมให้หลากหลายเพิ่มมากขึ้น ซึ่ง รมว.ศธ.ได้เสนอให้มีรูปแบบการมีหุ้นส่วนทางการศึกษา PPP รูปแบบกรรมการสถานศึกษาทุกระดับ และรูปแบบโรงเรียนดีประจำตำบล นอกจากนี้ รมว.ศธ.ยังได้กล่าวถึงผลการวิจัยของคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ได้ให้คะแนนความพึงพอใจเกี่ยวกับความเชื่อว่าจะสามารถปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สองได้สำเร็จ ถึงร้อยละ ๖ ซึ่งนับว่าเป็นระดับที่น่าพึงพอใจ แต่ยังมีจุดอ่อนด้านการมีส่วนร่วม จึงขอให้ สกศ. ไปศึกษาการสร้างการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง
• รูปแบบการพัฒนาศักยภาพครู บุคลากรทางการศึกษา และผู้เรียนในการใช้สื่อเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่ง สกศ.ได้รับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยราชภัฎมหาสารคาม ในการจัดอบรมครูและบุคลากรทางการศึกษา ๔ ภูมิภาค ๔ รุ่นๆ ละ ๖๐ คน เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ ทักษะ และเทคโนโลยี ผลงานการสร้างสรรค์สื่อ โดยให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหนังสือ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Book และนำสื่อที่ผลิตไปใช้กับนักเรียน ซึ่งมีรูปแบบความร่วมมือระหว่างองค์กรกับหน่วยงานภาครัฐ และเอกชนด้วย
สำหรับผลการประเมินครูและบุคลากรทางการศึกษาเรื่องความรู้ความเข้าใจด้านการใช้สื่อและเทคโนโลยี ตลอดถึงกระบวนการพัฒนาหนังสือ พบว่า ครูและบุคากรทางการศึกษา มีความรู้ความเข้าใจด้านการใช้สื่อ และกระบวนการพัฒนาหนังสือเพิ่มขึ้น มีทักษะการใช้เทคโนโลยีและผลงานสร้างสรรค์สื่อ สามารถพัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่มีรูปภาพ สีสัน ดึงดูดความสนใจได้หลายรูปแบบ นอกจากนี้ยังพบว่า ครูและบุคลากรทางการศึกษา เห็นว่า การนำสื่อและเทคโนโลยีไปใช้ในสถานศึกษา เป็นสิ่งที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการพัฒนาคุณภาพทางการศึกษา
รมว.ศธ.กล่าวย้ำเน้นเกี่ยวกับการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศว่า การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาเป็นนโยบายหลักของ ศธ.อยู่แล้ว จึงได้มอบหมายให้ สป.จัดการพัฒนา e-Learning เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา และนำผลการอบรมครูไปร่วมเพื่อดำเนินการขับเคลื่อนโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศให้เป็นนโยบายหลักต่อไป
• เป้าหมายและการพัฒนาโรงเรียนดีประจำตำบล ปี ๒๕๕๓-๒๕๕๗ และผลการดำเนินงาน ภาพความสำเร็จในการพัฒนาโรงเรียนดีประจำอำเภอ ซึ่ง สพฐ.ได้เสนอการพัฒนาสถานศึกษาให้ไปสู่สถานศึกษายุคใหม่ ซึ่งมีจำนวนโรงเรียนทั้งหมด ๓๒,๐๐๐ โรงเรียน ประกอบด้วย ยกระดับเป็นโรงเรียนสู่มาตรฐานสากล ๕๐๐ โรงเรียน โรงเรียนดีประจำอำเภอ ๒,๕๐๐ โรงเรียน ยกระดับมาตรฐานคุณภาพเป็นโรงเรียนดีประจำตำบล ๗,๐๐๐ โรงเรียน ส่วนอีก ๒๒,๐๐๐ โรงเรียน เป็นโรงเรียนขนาดเล็กในชุมชนและหมู่บ้าน สำหรับโรงเรียนดีประจำตำบล ได้มีการกำหนดเป้าหมายและยุทธศาสตร์ในการดำเนินการพัฒนาโรงเรียนดีประจำตำบล ในรูปแบบ ๗๗๗ คือ
- ๔ เดือนแรก ดำเนินการ ๗ ประการ คือ มีแผนยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน มีเป้าหมายพัฒนานักเรียนที่เข้าใจถูกต้องตรงกัน สถานศึกษาสะอาด มีบริเวณโดยรอบร่มรื่น สวยงาม มีบรรยากาศอบอุ่นเหมือนบ้าน มีความปลอดภัย ปลอดสารเสพติด และเปิดโอกาสให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของและพัฒนา
- ๔ เดือนต่อมาจะต้องดำเนินการ ๗ ประการ คือ มีห้องสมุด ๓ ดี มีห้องปฏิบัติการ มีศูนย์การเรียนรู้อาชีพ มีศูนย์กีฬาชุมชน มีห้องสุขาที่ถูกสุขลักษณะ มีครูที่ใช้แหล่งเรียนรู้และเทคโนโลยีสารสนเทศ และมีการบริหารที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลง
- อีก ๔ เดือนต่อไป ต้องการให้โรงเรียนดีประจำตำบลมี ๗ อย่าง คือ มีชื่อเสียงดี มีนักเรียนใฝ่รู้ ปลูกฝังให้นักเรียนใฝ่เรียน และใฝ่ดี มีความเป็นไทย สุขภาพดี และรักการงานอาชีพ
รมว.ศธ.กล่าวเพิ่มเติมว่า ศธ.จะประกาศการพัฒนาสถานศึกษายุคใหม่ ในวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดโครงการโรงเรียนดีประจำตำบล เพื่อให้มีการขับเคลื่อนเรื่องสถานศึกษายุคใหม่อย่างเป็นรูปธรรม โดยได้มอบให้ สพฐ.ดำเนินการ ๓ เรื่อง ได้แก่
๑.พัฒนารูปแบบโรงเรียนดีประจำตำบลให้สนองตอบต่อการเป็นโรงเรียนดีใกล้บ้าน มีทั้งระดับปฐมวัย มีการเรียนร่วม และเรียนปกติที่มีความพร้อมอยู่ในโรงเรียนเดียว
๒.มุ่งเน้นให้โรงเรียนดีประจำตำบลมีบุคลากรที่มีความสามารถในการสอนทุกสาระการเรียนรู้ และเชื่อมโยงกับโรงเรียนเครือข่าย หรือโรงเรียนพี่เลี้ยงในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา เพื่อต่อยอดความเป็นเลิศให้กับนักเรียน และ
๓.มีการจัดสรรงบประมาณเพื่อปรับปรุงเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา เพื่อให้เป็นศูนย์กลางสอดคล้องกับศูนย์การเรียนรู้ชุมชน กศน.ตำบล เป็นการสร้างฐานการเรียนรู้ในระดับล่างที่มีความเข้มแข็ง นอกจากนี้ยังได้เสนอรูปแบบการพัฒนาสถานศึกษายุคใหม่ทั้งระบบ ตั้งแต่โรงเรียนดีประจำตำบล โรงเรียนดีประจำอำเภอ ที่สังกัด สพฐ. ๕๐๐ โรงเรียน และสังกัด สช. ๕๐๐ โรงเรียน และโรงเรียนมุ่งสู่มาตรฐานสากล
ที่มา : ข่าวสำนักงานรัฐมนตรี ข่าวที่ 332/2553
สรุป : ผลประชุมกระทรวงศึกษาธิการได้พิจารณา 6 จุดเน้นคุณภาพปี 2554 รูปแบบการจัดสมัชชาการศึกษา ควรเป็นรูปแบบที่เกิดจากการมีส่วนร่วมและรวมพลังของทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง เรียกว่า ๓๓๓ หรือ “Triple Three Model” รูปแบบการพัฒนาศักยภาพครู บุคลากรทางการศึกษา และผู้เรียนในการใช้สื่อเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาเรียนรู้ตลอดชีวิต เป้าหมายและการพัฒนาโรงเรียนดีประจำตำบล ปี ๒๕๕๓-๒๕๕๗
ที่มา ต้นฉบับ สามารถดาวน์โหลดได้ที่นี่ http://www.moe.go.th/moe/upload/news20/FileUpload/21434-8841.pdf
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)